
ไม่มีที่จอดสูง ทำยังไงดี? ห่อรถกันน้ำยังไงให้รอดจากน้ำท่วม
ช่วงหน้าฝนของทุกปี ปัญหาน้ำท่วมขังตามบ้านและถนนถือเป็นเรื่องที่คนใช้รถในเมืองไทยต้องเจออยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะใครที่ไม่มีที่จอดสูง หรือพักอาศัยในพื้นที่ลุ่มต่ำ น้ำไหลผ่านง่าย ยิ่งต้องรีบหาวิธีป้องกันไม่ให้รถเสียหายก่อนน้ำมาถึง เพราะค่าซ่อมรถหลังน้ำท่วมอาจสูงหลักหมื่นถึงหลักแสนบาท หนึ่งในวิธีที่เจ้าของรถนิยมคือการ ห่อรถกันน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าเครื่องยนต์ ห้องโดยสาร และระบบไฟฟ้าภายใน บทความนี้จะพาไปดูว่า หากบ้านคุณไม่มีที่จอดสูง ควรเตรียมตัวอย่างไร และห่อรถกันน้ำแบบไหนถึงจะรอดจริง
ทำไม “ไม่มีที่จอดสูง” ถึงเสี่ยงน้ำท่วมมากกว่าที่คิด
สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในบ้านทาวน์เฮ้าส์ คอนโด หรือหอพักที่มีลานจอดกลางแจ้ง สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือระดับพื้นดินที่อยู่ต่ำกว่าถนน หรือไม่มีทางน้ำไหลออก ซึ่งมักทำให้น้ำท่วมขังรวดเร็วและไหลเข้ารถได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อฝนตกต่อเนื่องหรือท่อระบายน้ำอุดตัน
ความเสียหายที่มักเกิดขึ้นเมื่อรถโดนน้ำท่วม ได้แก่
- น้ำเข้าระบบเครื่องยนต์ ทำให้สตาร์ตไม่ติด
- ระบบไฟฟ้าและกล่อง ECU ช็อตเสียหาย
- กลิ่นอับและเชื้อราภายในห้องโดยสาร
- ผ้าเบาะ พรม และแผงประตูพองหรือบวม
- สนิมขึ้นตามจุดเชื่อมโลหะ
ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ซ่อมแพง แต่ยังทำให้มูลค่ารถลดลงอย่างมากเมื่อต้องขายต่อ
วิธีป้องกันรถน้ำท่วม สำหรับคนไม่มีที่จอดสูง
หากคุณไม่สามารถย้ายรถไปพื้นที่สูงได้ ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อเพิ่มโอกาสให้รถรอดจากน้ำท่วม
1. เลือกจอดในจุดที่น้ำท่วมน้อยที่สุด
- หลีกเลี่ยงจอดใกล้ท่อระบายน้ำหรือทางน้ำไหล
- ถ้ามีทางลาด ให้ถอยท้ายรถขึ้นที่สูง เพื่อให้น้ำท่วมไม่ถึงเครื่องยนต์
- หากเป็นพื้นที่กว้าง ให้จอดกลางลานแทนริมรั้ว เพราะน้ำมักขังตามขอบ
2. ใช้อุปกรณ์ช่วยป้องกัน
- วางอิฐบล็อกหรือแท่นไม้หนารองล้อให้รถสูงขึ้น 10–20 เซนติเมตร
- ใช้กระสอบทรายล้อมรอบรถช่วยกันน้ำเบื้องต้น
- หากพอมีงบ อาจใช้แท่นจอดรถยกสูงแบบพับเก็บได้ ซึ่งบางรุ่นรองรับได้ถึง 2 ตัน
3. ปิดช่องทางน้ำเข้ารถ
- ปิดกระจกทุกบานให้แน่น
- อุดช่องไอเสียและช่องกรองอากาศด้วยพลาสติกหรือผ้ายาง
- ใช้เทปกันน้ำพันรอบประตูและกระโปรงรถเพิ่มความแน่นหนา
วิธีห่อรถกันน้ำให้ได้ผลจริง
การห่อรถกันน้ำเป็นอีกทางเลือกที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก เช่น กรุงเทพฯ ปทุมธานี สมุทรปราการ หรืออยุธยา แต่การห่อรถให้รอด ไม่ใช่แค่เอาผ้าคลุมธรรมดามาโปะเท่านั้น ต้องเลือกวัสดุและทำให้ถูกขั้นตอนด้วย
เลือกอุปกรณ์ห่อรถให้เหมาะ
- ใช้ถุงห่อรถกันน้ำท่วม (Car Bag / Waterproof Car Cover) ที่ออกแบบเฉพาะ มีซิปปิดสนิทและวัสดุหนา 3 ชั้น
- หลีกเลี่ยงผ้าคลุมรถทั่วไป เพราะกันฝุ่นได้แต่กันน้ำไม่ได้
- ขนาดต้องพอดีกับรถ เพื่อให้ปิดได้สนิทโดยไม่มีช่องน้ำรั่วเข้า
ขั้นตอนการห่อรถให้ถูกต้อง
- ล้างรถให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อน เพื่อป้องกันคราบน้ำและเชื้อรา
- คลุมถุงห่อจากหลังคาแล้วรูดซิปให้รอบคัน
- ผูกเชือกหรือตัวล็อกให้แน่นบริเวณใต้ท้องรถ
- ตรวจดูให้แน่ใจว่าซิปหรือรอยต่อทุกจุดปิดสนิท
- เมื่อระดับน้ำเริ่มสูง ให้ตรวจดูเป็นระยะ หากน้ำเริ่มแตะขอบถุง ให้เลี่ยงการขยับรถ เพราะอาจทำให้น้ำไหลเข้า
อุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้รถรอดจากน้ำท่วม
- ถุงห่อรถกันน้ำท่วมแบบซิป (Waterproof Car Bag) ราคาประมาณ 2,000–6,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดรถ
- แท่นจอดยกสูง / Ramp ยางพารา เหมาะสำหรับพื้นที่จอดหน้าบ้าน ยกได้ 10–15 เซนติเมตร
- กระสอบทรายหรือแผงกันน้ำสำเร็จรูป ป้องกันน้ำไหลเข้าสู่พื้นที่จอด
- เทปกันน้ำ / พลาสติกคลุมหลังคา ใช้เสริมจุดที่น้ำมักไหลเข้า เช่น ช่องไฟหน้า ช่องประตู
คำแนะนำเพิ่มเติมจากช่างมืออาชีพ
- ถ้าระดับน้ำสูงเกินกว่าครึ่งล้อ ให้หลีกเลี่ยงการสตาร์ตรถโดยเด็ดขาด
- หากน้ำเริ่มท่วมถึงประตู อย่าขยับรถ เพราะอาจดันน้ำเข้าระบบไฟฟ้า
- หลังน้ำลด ให้ตรวจแบตเตอรี่ ระบบเบรก และน้ำมันเครื่องก่อนสตาร์ตทุกครั้ง
- หากพบว่าน้ำเข้าห้องเครื่องหรือห้องโดยสาร ให้เรียกรถยกไปศูนย์บริการทันที
สรุป ไม่มีที่จอดสูง ก็รอดน้ำท่วมได้ ถ้าเตรียมถูกวิธี
แม้คุณจะไม่มีที่จอดสูง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องยอมให้รถจมน้ำเสียหายทุกครั้งที่ฝนตก เพียงแค่เตรียมตัวล่วงหน้าและใช้วิธี ห่อรถกันน้ำ ที่ถูกต้อง พร้อมอุปกรณ์ช่วยยกหรือกันน้ำเบื้องต้น ก็สามารถ ป้องกันรถน้ำท่วม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอให้ฝนตกถึงค่อยหาทางแก้ เพราะ “การป้องกันก่อนน้ำมา” คือทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับเจ้าของรถทุกคน
เว็บรถมือสองดูออนไลน์ ทุกคันการันตีสภาพ ต้อง ดรีมคาร์ (DREAM CARS) ตลาดรวมรถมือสอง ฟรีดาวน์ ดอกเบี้ยพิเศษ พร้อมบริการจัดไฟแนนซ์ ส่งรถให้ดูถึงหน้าบ้าน











